Header

มะเร็งเต้านม ภัยเงียบที่ผู้หญิงต้องใส่ใจ ตรวจพบเร็ว รักษาได้ ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี

25 กรกฎาคม 2568

มะเร็งเต้านม ภัยเงียบที่ผู้หญิงต้องใส่ใจ ตรวจพบเร็ว รักษาได้ ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี

     อย่างไรก็ตาม แม้มะเร็งเต้านมจะเป็นโรคที่รุนแรงและน่ากลัว แต่ก็เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่ หากตรวจพบได้เร็วและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็มีสูงมาก การตระหนักรู้ถึงอาการ ปัจจัยเสี่ยง และที่สำคัญที่สุดคือการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะโรคมะเร็งเต้านม
 

มะเร็งเต้านมเกิดจากอะไร?

     มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในเต้านม ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่บริเวณท่อน้ำนม (Ducts) หรือต่อมน้ำนม (Lobules) โดยเซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตผิดปกติ แบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วและควบคุมไม่ได้ ก่อตัวเป็นก้อนเนื้อร้าย (Malignant Tumor) ซึ่งมีศักยภาพในการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ และอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย เช่น กระดูก ปอด ตับ หรือสมอง ผ่านระบบน้ำเหลืองและกระแสเลือด ทำให้เกิดมะเร็งแพร่กระจาย (Metastasis) ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต

*ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งเต้านม แต่มีการค้นพบปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
 

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม

     การทราบปัจจัยเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีปัจจัยเสี่ยงจะต้องเป็นมะเร็งเต้านมเสมอไป และผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงก็อาจเป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน แต่การทราบจะช่วยให้เราเพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวังตัวเองได้ดีขึ้น ปัจจัยเสี่ยงแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก

*ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งเต้านม แต่มีการค้นพบปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
 

1. ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้

  • เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้ชายถึง 100 เท่า แม้ผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้แต่พบน้อยมาก
  • อายุ: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบมากที่สุดในผู้หญิงอายุ 50-60 ปี
  • ประวัติครอบครัว: หากมีญาติสายตรง (แม่ พี่สาว น้องสาว ลูกสาว) เป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งรังไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นตั้งแต่อายุน้อย จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • พันธุกรรม: การกลายพันธุ์ของยีนบางชนิด เช่น BRCA1 และ BRCA2 เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่อย่างมีนัยสำคัญ
  • ประวัติส่วนตัว: หากเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาแล้วข้างหนึ่ง มีโอกาสสูงที่จะเป็นอีกข้างหนึ่ง
  • ประวัติการตรวจพบก้อนเนื้อผิดปกติที่เต้านม: โดยเฉพาะก้อนเนื้อที่เรียกว่า Atypical Hyperplasia หรือ Carcinoma in situ
  • การได้รับรังสีที่หน้าอก: เช่น เคยได้รับการฉายรังสีรักษาบริเวณหน้าอกตั้งแต่อายุน้อย
     

2. ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ หรือเปลี่ยนแปลงได้

  • การมีบุตรช้า หรือไม่มีบุตร: ผู้หญิงที่มีบุตรคนแรกเมื่ออายุมาก (หลัง 30 ปี) หรือไม่เคยมีบุตรเลย มีความเสี่ยงสูงกว่า
  • การให้นมบุตร: การไม่ให้นมบุตร หรือให้นมบุตรในระยะเวลาสั้นๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อย การให้นมบุตรนานกว่า 1 ปีช่วยลดความเสี่ยง
  • การใช้ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนทดแทน: การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนผสมกันเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อย รวมถึงการใช้ฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือน
  • ภาวะอ้วน: โดยเฉพาะหลังวัยหมดประจำเดือน เพราะไขมันที่สะสมจะเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  • การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
  • การสูบบุหรี่: ทั้งการสูบเองและได้รับควันบุหรี่มือสอง
  • การขาดการออกกำลังกาย
  • การรับประทานอาหาร: การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อสัตว์แปรรูป อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
     

อาการของ "มะเร็งเต้านม": สัญญาณเตือนที่ต้องใส่ใจ

     มะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ทำให้หลายคนละเลย กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อโรคดำเนินไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม หากหมั่นสังเกตตัวเอง จะพบสัญญาณเตือนเหล่านี้ได้

1. ก้อนที่เต้านม หรือรักแร้

  • พบก้อนที่เต้านม: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด ก้อนอาจแข็ง ขรุขระ หรือเรียบ อาจขยับได้เล็กน้อย หรือยึดติดกับเนื้อเยื่อรอบๆ ไม่เจ็บปวด (ส่วนใหญ่มักไม่เจ็บ แต่ก็อาจเจ็บได้)
  • พบก้อนที่รักแร้: อาจเป็นต่อมน้ำเหลืองที่โตผิดปกติ ซึ่งบ่งชี้ว่ามะเร็งอาจแพร่กระจายไปแล้ว
     

2. การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม

  • ผิวหนังบุ๋มลง: มีรอยบุ๋ม ย่น หรือเป็นลักยิ้ม คล้ายผิวส้ม (Orange Peel Appearance)
  • สีผิวหนังเปลี่ยนไป: มีรอยแดง ผื่น หรือผิวหนังหนาขึ้น คล้ายกับมีอาการอักเสบ แต่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
  • เส้นเลือดดำขยายใหญ่: มองเห็นเส้นเลือดดำชัดเจนขึ้นบริเวณเต้านม
     

3. การเปลี่ยนแปลงของหัวนม

  • หัวนมบุ๋ม หรือยุบลงไป: หัวนมที่เคยยื่นออกมา กลับยุบตัวเข้าด้านใน หรือเปลี่ยนทิศทาง
  • มีน้ำ หรือของเหลวไหลออกจากหัวนม: โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นของเหลวสีแดง หรือสีน้ำตาล (เลือด) ไหลออกมาเองโดยไม่ได้บีบ และไหลจากเต้านมข้างเดียว
  • แผลบริเวณหัวนม หรือรอบๆ หัวนม: มีผื่นคัน แตก เป็นขุย หรือเป็นสะเก็ดคล้ายกลากน้ำนม รักษาไม่หาย


4. ขนาด หรือรูปร่างเต้านมเปลี่ยนไป

  • เต้านมข้างใดข้างหนึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือเล็กลงผิดปกติ
  • รูปร่างของเต้านมผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
     

5. อาการอื่นๆ ที่อาจบ่งชี้การแพร่กระจายของมะเร็ง (ในระยะลุกลาม)

  • ปวดกระดูก: โดยเฉพาะที่กระดูกสันหลัง หรือกระดูกเชิงกราน
  • ไอเรื้อรัง หอบเหนื่อย: หากมะเร็งแพร่กระจายไปที่ปอด
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต: หากมะเร็งแพร่กระจายไปที่ตับ
  • ปวดศีรษะ มองเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง: หากมะเร็งแพร่กระจายไปที่สมอง

*หากคุณผู้หญิงพบสัญญาณหรืออาการผิดปกติใดๆ ดังที่กล่าวมานี้ แม้เพียงข้อเดียว ไม่ควรรอช้า หรือคิดไปเองว่าไม่เป็นอะไร ควรรีบมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด เพราะการตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นมีโอกาสรักษาหายขาดได้สูงถึง 90%

 

การวินิจฉัย "มะเร็งเต้านม": ตรวจพบได้เร็ว เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

     การวินิจฉัยมะเร็งเต้านมที่แม่นยำและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมที่สุด การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเป็นประจำจึงเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและควบคุมโรค

1. การตรวจคัดกรองเบื้องต้นและการสังเกตตนเอง

     • การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast Self-Examination - BSE):
- ความสำคัญ: เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถทำได้ด้วยตนเอง
- วิธีทำ: ควรตรวจเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกันของทุกเดือน โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน 7-10 วัน (สำหรับผู้ที่ยังมีประจำเดือน) หรือในวันที่จำง่ายสำหรับผู้ที่หมดประจำเดือนแล้ว
- ขั้นตอน: คลำเต้านมและรักแร้ด้วยมือในลักษณะต่างๆ ทั้งท่านอนและท่ายืน สังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง รูปร่าง ขนาด หรือก้อนผิดปกติ
- ข้อจำกัด: เป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้น ไม่สามารถทดแทนการตรวจโดยแพทย์ หรือแมมโมแกรมได้ แต่ช่วยให้เราคุ้นเคยกับเต้านมของตัวเอง และสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น

     • การตรวจเต้านมโดยแพทย์ (Clinical Breast Examination - CBE):
- ความสำคัญ: แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจคลำเต้านมและรักแร้ให้ โดยอาศัยความชำนาญในการแยกแยะก้อนเนื้อปกติและผิดปกติ
- ความถี่: แนะนำให้ตรวจทุก 1-3 ปี สำหรับผู้หญิงอายุ 20-39 ปี และตรวจทุกปีสำหรับผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป
 

2. การตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ (Imaging Tests)

     • การถ่ายภาพรังสีเต้านม (Mammogram หรือ Mammography):
- ความสำคัญ: เป็นวิธีหลักและมีประสิทธิภาพที่สุดในการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในผู้หญิงทั่วไป
- หลักการ: เป็นการใช้รังสีเอกซเรย์ในปริมาณน้อย ถ่ายภาพเต้านมเพื่อค้นหาความผิดปกติ เช่น หินปูนผิดปกติ (Microcalcifications) หรือก้อนเนื้อขนาดเล็กที่ยังคลำไม่พบ
- กลุ่มเป้าหมาย: แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป ทำการตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำทุก 1-2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
- ข้อจำกัด: อาจมีข้อจำกัดในผู้หญิงอายุน้อยที่มีเนื้อเต้านมแน่นทึบ ทำให้เห็นความผิดปกติได้ยาก

     • การอัลตราซาวด์เต้านม (Ultrasound Breast):
- ความสำคัญ: มักใช้เป็นการตรวจเสริมจากการทำแมมโมแกรม โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุน้อย หรือผู้ที่มีเนื้อเต้านมแน่นทึบ รวมถึงใช้ในการวินิจฉัยแยกแยะลักษณะของก้อนเนื้อว่าเป็นของแข็งหรือของเหลว (ถุงน้ำ)
- หลักการ: ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพเต้านม
- กลุ่มเป้าหมาย: ใช้เสริมในทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงอายุน้อยกว่า 35 ปี และผู้ที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น
 

3. การตรวจยืนยันการวินิจฉัย (Biopsy)

    หากพบความผิดปกติจากการตรวจข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นก้อนเนื้อ หรือหินปูนผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาการตรวจยืนยันด้วยการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่

  • การเจาะดูดเซลล์ด้วยเข็มเล็ก (Fine Needle Aspiration - FNA): ใช้เข็มเล็กๆ เจาะดูดเซลล์จากก้อนเนื้อไปตรวจ

  • การตัดชิ้นเนื้อด้วยเข็มขนาดใหญ่ (Core Needle Biopsy): ใช้เข็มขนาดใหญ่ขึ้นตัดชิ้นเนื้อขนาดเล็กจากก้อนเนื้อไปตรวจ เป็นวิธีที่ให้ความแม่นยำสูงกว่า FNA

  • การผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อออกทั้งหมด (Excisional Biopsy): เป็นการผ่าตัดก้อนเนื้อทั้งหมดออกไปตรวจ

*การวินิจฉัยที่แม่นยำจะช่วยให้แพทย์ประเมินชนิดของเซลล์มะเร็ง ระยะของโรค และคุณสมบัติทางชีวภาพของเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการรักษาที่เฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพสูงสุด
 

แนวทางการรักษา "มะเร็งเต้านม"

     การรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก และมักเป็นการรักษาแบบผสมผสาน (Multimodality Treatment) โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาจะร่วมกันวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

1. การผ่าตัด (Surgery)

     เป็นการรักษาหลักที่สำคัญที่สุดในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ มีหลายประเภท

  • การผ่าตัดสงวนเต้านม (Breast-Conserving Surgery - BCS หรือ Lumpectomy) เป็นการผ่าตัดนำเฉพาะก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบๆ บางส่วนออก โดยยังคงเหลือเต้านมไว้ มักทำร่วมกับการฉายรังสี
  • การผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด (Mastectomy) เป็นการผ่าตัดนำเต้านมออกทั้งหมด อาจทำร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้หรือไม่ก็ได้
     

2. การฉายรังสี (Radiation Therapy)

     เป็นการให้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ยาเคมีบำบัดจะออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย จึงสามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจแพร่กระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ ใช้ในกรณีที่มะเร็งมีขนาดใหญ่ มีการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง หรือเป็นมะเร็งชนิดก้าวร้าว เพื่อลดขนาดก้อนก่อนผ่าตัด หรือเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่หลังผ่าตัด
 

4. การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormone Therapy)

     ใช้สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิดที่มีตัวรับฮอร์โมน (Hormone Receptor-Positive) ซึ่งเซลล์มะเร็งจะเติบโตได้โดยอาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจนและ/หรือโปรเจสเตอโรน ยาฮอร์โมนจะไปยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนเหล่านี้ เพื่อชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง มักให้ยาเป็นระยะเวลานาน (เช่น 5-10 ปี)
 

5. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)

     เป็นการรักษาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อโปรตีน หรือสารพันธุกรรมบางชนิดบนเซลล์มะเร็งที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง มักใช้กับมะเร็งเต้านมบางชนิด เช่น HER2-Positive breast cancer หรือมะเร็งเต้านมที่มียีนกลายพันธุ์เฉพาะ
 

6. การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

     เป็นการใช้ยาที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มาต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ปัจจุบันเริ่มมีการนำมาใช้ในมะเร็งเต้านมบางชนิดที่รุนแรงและมีการตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ ได้ไม่ดี
การเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งเต้านม ระยะของโรค อายุและสุขภาพของผู้ป่วย รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทีมแพทย์จะทำการประเมินและให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
 

การป้องกัน "มะเร็งเต้านม" เริ่มต้นวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

ยาที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มาต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ปัจจุบันเริ่มมีการนำมาใช้ในมะเร็งเต้านมบางชนิดที่รุนแรงและมีการตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ ได้ไม่ดีการเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่

1. การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอ:

  • ตรวจเต้านมด้วยตนเอง: เดือนละ 1 ครั้ง เริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป
  • ตรวจเต้านมโดยแพทย์: ทุก 1-3 ปี สำหรับอายุ 20-39 ปี และทุกปีสำหรับอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • ทำแมมโมแกรมและ/หรือ อัลตราซาวด์เต้านม: ทุก 1-2 ปี สำหรับอายุ 35 ปีขึ้นไป หรือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
     

2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: ลดภาวะอ้วน โดยเฉพาะหลังวัยหมดประจำเดือน
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายระดับปานกลาง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ลดอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดงแปรรูป และอาหารที่มีน้ำตาลสูง
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: ไม่ควรเกิน 1 แก้วต่อวันสำหรับผู้หญิง
  • งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
     

3. การให้นมบุตร

  • การให้นมบุตรเป็นระยะเวลานาน (อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี) มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
     

4. การปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ฮอร์โมน

  • สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือน ควรปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์ ความเสี่ยง และระยะเวลาการใช้ที่เหมาะสม
     

5. การปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตรวจยีน (สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง):

  • หากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งรังไข่ในญาติสายตรงตั้งแต่อายุน้อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการตรวจคัดกรองยีน BRCA1/2 หรือยีนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
     

เมื่อไหร่ที่ควรมาปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี?

     หากคุณผู้หญิงพบสัญญาณหรืออาการผิดปกติใดๆ ของเต้านม หรือมีความกังวลเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม ไม่ควรรอช้า ควรรีบมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านม หรือศัลยแพทย์เต้านม ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี ทันที

  • คลำพบก้อนที่เต้านม หรือรักแร้: ไม่ว่าจะเจ็บหรือไม่เจ็บก็ตาม
  • มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเต้านม: เช่น บุ๋ม ย่น เป็นลักยิ้ม ผิวส้ม หรือมีผื่นแดง
  • มีการเปลี่ยนแปลงของหัวนม: เช่น หัวนมบุ๋มลง มีน้ำหรือเลือดไหลออกจากหัวนม มีแผล หรือผื่นบริเวณหัวนม
  • ขนาด หรือรูปร่างเต้านมเปลี่ยนไป:
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งรังไข่:
  • ถึงวัยที่ต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรม: (โดยเฉพาะอายุ 35 ปีขึ้นไป)
  • ต้องการปรึกษาเพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมกับตนเอง
     

 

ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี เรามี “ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านเต้านมและต่อมไร้ท่อ” พร้อมด้วยเครื่องมือตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัย และห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน เราพร้อมให้การดูแลตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัยที่แม่นยำ ไปจนถึงการวางแผนการรักษาที่ครอบคลุมและเป็นรายบุคคล ด้วยความห่วงใยและเอาใจใส่อย่าให้ความกลัวมาบดบังโอกาสในการรักษา เพราะการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นคือหนทางสู่การหายขาด
 

 

 


 

 

มีคำถามเกี่ยวกับ มะเร็งเต้านม ?

สอบถามฟรี รับคำตอบได้ทันที ทางช่องทาง LINE เพื่อความสบายใจของคุณ
 


 


 

ช่องทางการซื้อแพ็กเกจและโปรโมชั่น

 

 




 

มะเร็งเต้านมเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพและชีวิตของผู้หญิงจำนวนมาก แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน
รวมถึงความตระหนักรู้และการเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ เราสามารถเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ซึ่งเป็นช่วงที่การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและมีโอกาสหายขาดได้สูง
สามารถปรึกษาได้ที่ รงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี
โทร 05-604-9899  "ไม่ต้องห่วง ให้เราช่วยดูแล" 
 

 

ขอคำปรึกษา คลิก

 

 

 

อ้างอิง :



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

แผนกศัลยกรรม

สถานที่

ชั้น 1

เวลาทำการ

พ, พฤ, ศ : 17.00-20.00น. ส : 08.00-20.00น. อา : 08.00-12.00น.

เบอร์ติดต่อ

056-049899 ต่อ 580101

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์