เบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ อันตรายต่อแม่และลูกน้อย
05 กันยายน 2567
เบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ อันตรายต่อแม่และลูกน้อย
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือ Gestational Diabetes Mellitus (GDM)) เป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ประมาณ 2-7% แม้จะไม่ส่งผลร้ายแรงต่อมารดาในทันที แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจส่งผลต่อสุขภาพของทั้งแม่และทารกในครรภ์ได้
เบาหวานขณะตั้งครรภ์คืออะไร?
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายของคุณแม่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ฮอร์โมนอินซูลิน มีหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายขาดอินซูลิน หรือใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่ดี น้ำตาลจะสะสมอยู่ในเลือดมากขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพของทั้งแม่และทารก
สาเหตุของเบาหวานขณะตั้งครรภ์
สาเหตุของเบาหวานขณะตั้งครรภ์เกิดจาก ฮอร์โมนที่รกสร้างขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อการทำงานของอินซูลิน ทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ เบาหวานขณะตั้งครรภ์
-อายุ: ผู้หญิงที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มากขึ้น
-น้ำหนักตัว: ผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนก่อนตั้งครรภ์ มีโอกาสสูงที่จะเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์
-ประวัติครอบครัว: ผู้หญิงที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน จะเพิ่มโอกาสการเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์
-ประวัติการตั้งครรภ์: ผู้หญิงที่เคยเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มาก่อน จะมีโอกาสเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ในการตั้งครรภ์ครั้งถัดไป
-การตั้งครรภ์แฝด: ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แฝด มีโอกาสเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มากกว่าการตั้งครรภ์ปกติ
ผลกระทบของเบาหวานขณะตั้งครรภ์
คุณแม่ที่เป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทั้งแม่และทารกในครรภ์ ดังนี้
ผลกระทบต่อทารก
- ทารกตัวโต (macrosomia)
- คลอดก่อนกำหนด (preterm birth)
- เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในครรภ์ (stillbirth)
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด (neonatal hypoglycemia)
- เสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในวัยเด็ก
- เสี่ยงต่อปัญหาการเรียนรู้และพัฒนาการ
ผลกระทบต่อคุณแม่
- ครรภ์เป็นพิษ (preeclampsia)
- คลอดก่อนกำหนด (preterm birth)
- ไม่สามารถคลอดแบบธรรมชาติได้ เพราะทารกตัวใหญ่กว่าปกติ
- มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes) ในอนาคต
วิธีการวินิจฉัยเบาหวานขณะตั้งครรภ์
แพทย์จะวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยทำการตรวจเลือด โดยปกติการตรวจจะทำในช่วงระหว่างสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์
การตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ประกอบด้วย
1. การตรวจ 50 กรัม GCT (Glucose Challenge Test) เป็นการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องงดอาหารก่อนตรวจ โดยทำดังนี้
วิธีการตรวจ :
- .รับประทานน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม ละลายน้ำ โดยไม่ต้องงดอาหาร
- เจาะเลือดหลังรับประทานน้ำตาล 1 ชั่วโมง
- เปรียบเทียบระดับน้ำตาลในเลือดกับเกณฑ์
เกณฑ์การวินิจฉัย :
- ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ถือว่าผิดปกติ
- หากพบค่าผิดปกติ ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGTT
ข้อดีของการตรวจ 50 กรัม GCT :
- สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องงดอาหารก่อนตรวจ
- ช่วยคัดกรองผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นการเริ่มต้นการวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อจำกัดของการตรวจ 50 กรัม GCT :
- ผลตรวจอาจคลาดเคลื่อนได้ หากมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เช่น การทานยาบางชนิด การติดเชื้อ หรือความเครียด
- ไม่สามารถวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGT
การเตรียมตัวก่อนตรวจ :
- แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับยาที่ทานอยู่
- แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ
- แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์แฝด
- งดสูบบุหรี่ในวันตรวจ
หลังการตรวจ :
- รอผลตรวจประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- หากผลตรวจปกติ แพทย์จะนัดตรวจติดตามตามปกติ
- หากผลตรวจผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGTT
2. การตรวจ 100 กรัม OGTT (Oral Glucose Tolerance Test) เป็นวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำตาลกลูโคส แล้วเจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ในช่วงเวลาที่กำหนด บทความนี้มุ่งนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจ 100 กรัม OGTT อย่างละเอียด ครอบคลุมทุกขั้นตอน
ขั้นตอนการตรวจ :
- งดอาหาร 8 ชั่วโมงก่อนตรวจ ดื่มน้ำเปล่าได้ตามปกติ
- เจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting blood sugar - FBS)
- รับประทานน้ำตาลกลูโคส 100 กรัม ผสมน้ำมะนาวเพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียน
- เจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หลังรับประทานน้ำตาล 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง และ 3 ชั่วโมงตามลำดับ
เกณฑ์การวินิจฉัย :
- ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ถือว่าผิดปกติ
- หากพบค่าผิดปกติ ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGTT
ข้อดีของการตรวจ 50 กรัม GCT :
- สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องงดอาหารก่อนตรวจ
- ช่วยคัดกรองผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นการเริ่มต้นการวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อจำกัดของการตรวจ 50 กรัม GCT :
- ผลตรวจอาจคลาดเคลื่อนได้ หากมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เช่น การทานยาบางชนิด การติดเชื้อ หรือความเครียด
- ไม่สามารถวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGT
การเตรียมตัวก่อนตรวจ :
- แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับยาที่ทานอยู่
- แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ
- แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์แฝด
- งดสูบบุหรี่ในวันตรวจ
หลังการตรวจ :
- รอผลตรวจประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- หากผลตรวจปกติ แพทย์จะนัดตรวจติดตามตามปกติ
- หากผลตรวจผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGTT
แนวทางการรักษาเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เป้าหมายของการรักษา เบาหวานขณะตั้งครรภ์ คือ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัยสำหรับทั้งแม่และทารก โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้
- ควบคุมอาหาร: นักโภชนาการจะช่วยจัดแผนอาหารที่เหมาะสมกับคุณ โดยคำนึงถึงความต้องการสารอาหารของร่างกาย ควบคู่ไปกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ออกกำลังกาย: แพทย์จะแนะนำประเภทและความหนักหน่วงของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
- ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด: คุณอาจจำเป็นต้องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองเป็นประจำ ตามคำแนะนำของแพทย์
- ใช้ยา: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ยาเม็ดหรืออินซูลิน
การติดตามผลการรักษา
คุณจะต้องพบแพทย์เป็นประจำ เพื่อติดตามผลการรักษา ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจสุขภาพทารก และปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม
การป้องกันเบาหวานขณะตั้งครรภ์
1. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนก่อนตั้งครรภ์ มีโอกาสเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มากกว่า
- การลดน้ำหนักแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
- ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อวางแผนควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสม
2. ทานอาหารที่มีประโยชน์
- เลือกรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง แป้ง และโปรตีน
- จำกัดการทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
- ทานผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ปลา ไข่ ถั่ว และนมพร่องมันเนย
- หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารฟาสต์ฟู้ด และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-5 วันต่อสัปดาห์ สามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก เพิ่มความไวต่ออินซูลิน และลดความเสี่ยงของ เบาหวานขณะตั้งครรภ์
- เลือกกิจกรรมที่คุณชอบ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ หรือเต้นแอโรบิก
- ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว
4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- การนอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำตาลในเลือด
- นอนหลับพักผ่อน 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
- สร้างบรรยากาศการนอนหลับที่ดี เช่น ปิดไฟ ปิดเสียงรบกวน และปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม
5. วางแผนการตั้งครรภ์
- หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงต่อ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
- แพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานยาบางชนิด หรือติดตามผลการตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด
6. ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์
- การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ ช่วยให้ทราบปัจจัยเสี่ยงต่อ เบาหวานขณะตั้งครรภ์และเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะนี้
- แพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ในช่วงต้นของการตั้งครรภ์
7. ตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรได้รับการตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ในช่วงระหว่างสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์
- การตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ช่วยให้วินิจฉัยได้เร็ว และเริ่มต้นการรักษาได้ทันท่วงที
8. ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ
- ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
- แพทย์หรือนักโภชนาการ สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนัก การทานอาหาร การออกกำลังกาย และการป้องกัน เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้
คำแนะนำสำหรับคุณแม่ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ปฏิบัติตามแนวทางการรักษาที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด: ทานอาหาร ออกกำลังกาย ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และรับประทานยาตามคำแนะนำ
- ติดตามผลการรักษาเป็นประจำ พบแพทย์ตามนัด ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจดูการเติบโตของทารกในครรภ์ และปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ เบาหวานขณะตั้งครรภ์: การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ จะช่วยให้เข้าใจวิธีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผลกระทบต่อสุขภาพของแม่และทารก และแนวทางการรักษา
- ดูแลสุขภาพจิตเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาจสร้างความเครียดและกังวล ปรึกษาแพทย์ นักจิตวิทยา เพื่อดูแลสุขภาพจิต
- ทานอาหารที่มีประโยชน์: เลือกทานอาหารที่มีใยอาหารสูง คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และโปรตีน จำกัดการทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับพักผ่อน 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
- จัดการความเครียด: หาเวลาผ่อนคลาย ฝึกสมาธิ โยคะ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดองโรค รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วยซึ่งหลังผ่าตัดผู้ป่วยเสมือนได้ข้อเข่าแบบใหม่ สามารถกลับมาก้าวเดินอย่างมั่นใจอีกครั้ง